เมี่ยงคำเมืองตาก หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เมี่ยงจอมพล ลักษณะเด่น
และส่วนประกอบของเมี่ยงมีมะพร้าวขูด ข้าวตากแห้งทอด ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง แคบหมู
มะนาว หัวหอมแดง ขิงหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ พริกขี้หนูสด เต้าเจี้ยว
ข้าวเกรียบงาหรือใบชะพู โดยนำข้าวเกรียบชุบน้ำให้อ่อนตัว
แล้วนำส่วนประกอบทั้งหมดห่อด้วยข้าวเกรียบพอดีคำ
ใส่น้ำเต้าเจี้ยวรับประทานเป็นของว่างซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองที่นิยมกันมากในจังหวัดตาก
และจังหวัดใกล้เคียง
สรรพคุณของมะพร้าวในตำรายาไทย
- เปลือกต้นสด
แก้เจ็บปวดฟัน และใช้ทาแก้หิด
- เนื้อมะพร้าว
รับประทานเป็นยาบำรุงกำลัง ขับปัสสาวะ ขับพยาธิ แก้ไข้ กระหายน้ำ
- น้ำมะพร้าว
รสหวานเค็ม รับประทานเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้กระหายน้ำ
แก้นิ่ว แก้อาเจียนเป็นโลหิตและบวมน้ำ นอกจากนี้ยังทำเป็นน้ำส้มสายชูใช้ประโยชน์อื่น
ๆ อีกมาก
- น้ำมันมะพร้าว
รสหวานเค็ม รับประทานเป็นยาบำรุงกำลัง หรือทาเป็นยาแก้กลากเกลื้อน บำรุงหัวใจ
แก้โรคผิวหนังต่างๆ ทาแผลน้ำร้อนลวก ทาผิวหนังแตกแห้ง และใช้ทาผม
- กะลา เป็นยาแก้ท้องเสีย
แก้ปวดกระดูกและเอ็น
- ดอก
รสฝาดหวานหอม เป็นยาแก้เจ็บปากเจ็บคอ แก้ท้องเสีย แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ
กล่อมเสมหะ บำรุงโลหิต แก้ปากเปื่อย
ประโยชน์ของสารอาหารที่มีในข้าว สารอาหารและ ประโยชน์
1. คาร์โบไฮเดรท
ข้าวมีคาร์โบไฮเดรทร้อยละ 75-80 ซึ่งอยู่ในรูปแป้ง (Starch) ที่เหลืออีกเล็กน้อยเป็น ซูโครส (Sucrose) และเด็กซ์ตริน (Dextrin) คาร์โบไฮเดรทที่ได้จากข้าวนี้ ร่างกายสามารถย่อยและนำไปใช้เป็นพลังงานได้เกือบทั้งหมด
1. คาร์โบไฮเดรท
ข้าวมีคาร์โบไฮเดรทร้อยละ 75-80 ซึ่งอยู่ในรูปแป้ง (Starch) ที่เหลืออีกเล็กน้อยเป็น ซูโครส (Sucrose) และเด็กซ์ตริน (Dextrin) คาร์โบไฮเดรทที่ได้จากข้าวนี้ ร่างกายสามารถย่อยและนำไปใช้เป็นพลังงานได้เกือบทั้งหมด
2. โปรตีน
ในข้าวมีโปรตีนประมาณร้อยละ 7 ซึ่งนับว่าน้อยเนื่องจากคนไทยบริโภคข้างเป็นอาหารหลัก คือบริโภคประมาณวันละ 400 กรัม (ข้าวสาร) ทำให้ได้โปรตีนถึง 28 กรัม โปรตีนในข้าวเป็นโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์เพราะขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ ไลซีน (Lysine) ดังนั้นจึงควรบริโภคข้าวร่วมกับอาหารประเภทถั่วเมล็ดแห้ง ซึ่งทำให้ได้โปรตีนสมบูรณ์ที่สามารถนำไปใช้ในการเสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในข้าวมีโปรตีนประมาณร้อยละ 7 ซึ่งนับว่าน้อยเนื่องจากคนไทยบริโภคข้างเป็นอาหารหลัก คือบริโภคประมาณวันละ 400 กรัม (ข้าวสาร) ทำให้ได้โปรตีนถึง 28 กรัม โปรตีนในข้าวเป็นโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์เพราะขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ ไลซีน (Lysine) ดังนั้นจึงควรบริโภคข้าวร่วมกับอาหารประเภทถั่วเมล็ดแห้ง ซึ่งทำให้ได้โปรตีนสมบูรณ์ที่สามารถนำไปใช้ในการเสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ไขมัน
ไขมันที่ได้จากข้าวเป็นไขมันที่มีคุณภาพดี เนื่องจากมีปริมาณกนดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง (Linoleic acid และ Oleic acid) ซึ่งช่วยในการควบคุมระดับคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดและช่วยในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ เด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก ไขมันในเม,ดข้าวนี้เมื่อผ่านกรมมวิธีการขัดสีจะหลุดไปอยู่ในส่วนของรำเกือบหมด มีติดเมล็ดเพียงร้อยละ 1-3 เท่านั้น
ไขมันที่ได้จากข้าวเป็นไขมันที่มีคุณภาพดี เนื่องจากมีปริมาณกนดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง (Linoleic acid และ Oleic acid) ซึ่งช่วยในการควบคุมระดับคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดและช่วยในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ เด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก ไขมันในเม,ดข้าวนี้เมื่อผ่านกรมมวิธีการขัดสีจะหลุดไปอยู่ในส่วนของรำเกือบหมด มีติดเมล็ดเพียงร้อยละ 1-3 เท่านั้น
4. วิตามิน เกลือแร่
วิตามินและเกลือแร่ในข้าว จะอยู่ที่เยื่อหุ้มเมล็ดและที่จมูกข้าวหรือคัพภะ วิตามินที่พบมาก คือ บี 1 บี 2 และไนอาซีน ซึ่งช่วยในการควบคุมการทำงานของระบบประสาท ส่วนเกลือแร่ที่พบในข้าวคือ เหล็ก ซึ่งช่วยในการสร้างเมล็ดเลือดแดง และฟอสฟอรัสที่ช่วยในการสร้างกระดูกและฟัน วิตามินและเกลือแร่ในข้าวจะหลุดออกไปเกือบหมดในระหว่างการขัดสีจนเป็นข้าว เมล็ดข้าว ดังนั้น เพื่อให้ได้วิตามิน และเกลือแร่จากข้าว จึงควรเลือกบริโภคข้าว ประเภทข้าวนึ่งก่อนสี หรือข้าวที่ผ่านการขัดสีเพียงเล็กน้อย เช่น ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวกล้อง
วิตามินและเกลือแร่ในข้าว จะอยู่ที่เยื่อหุ้มเมล็ดและที่จมูกข้าวหรือคัพภะ วิตามินที่พบมาก คือ บี 1 บี 2 และไนอาซีน ซึ่งช่วยในการควบคุมการทำงานของระบบประสาท ส่วนเกลือแร่ที่พบในข้าวคือ เหล็ก ซึ่งช่วยในการสร้างเมล็ดเลือดแดง และฟอสฟอรัสที่ช่วยในการสร้างกระดูกและฟัน วิตามินและเกลือแร่ในข้าวจะหลุดออกไปเกือบหมดในระหว่างการขัดสีจนเป็นข้าว เมล็ดข้าว ดังนั้น เพื่อให้ได้วิตามิน และเกลือแร่จากข้าว จึงควรเลือกบริโภคข้าว ประเภทข้าวนึ่งก่อนสี หรือข้าวที่ผ่านการขัดสีเพียงเล็กน้อย เช่น ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวกล้อง
คุณค่าของถั่วลิสง
ถั่วลิสงเป็นพืชที่มีคุณค่าทางการบำรุงร่างกายสูงกล่าวกันที่ช่วยให้มีอายุยืน
จนได้รับสมญานามว่า พืชอายุวัฒนะ ถั่วลิสงมีโปรตีนสูงประมาณ ๓๐%
จะเป็นรองก็แต่ถั่วเหลืองเท่านั้น ปริมาณโปรตีนในถั่วลิสงสูงกว่าในข้าวสาลี ๑ เท่า
สูงกว่าข้าว ๓ เท่า เมื่อเทียบกับไข่ไก่ นมวัว เนื้อสัตว์แล้ว ก็ไม่ด้อยกว่ากัน
ในถั่วลิสงเป็นโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดชึมไปใช้ได้ง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ถึง
๙๐% นอกจากนี้ ถั่วลิสงยังประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ๘ ชนิด
ในอัตราที่เหมาะสม ถั่วลิสงยังมีไขมัน วิตามิน บี ๒ โคลีน (choline) กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว
เมธิโอนีน (Methionine) และวิตามิน เอ-บี-อี-เค แคลเชียม
เหล็ก และธาตุอื่นๆ
การบริโภคน้ำมันถั่วลิสงเป็นประจำ จะทำให้โคเลสเตอรอลในตับสลายตัวเป็นกรดน้ำดี (bileacid) ไม่เพียงแต่ลดโคเลสเตอรอลลงเท่านั้น ยังเป็นการป้องกันหลอดเลือดตีบ และโรคหัวใจของคนในวัยกลางวันและวัยสูงอายุได้
การบริโภคน้ำมันถั่วลิสงเป็นประจำ จะทำให้โคเลสเตอรอลในตับสลายตัวเป็นกรดน้ำดี (bileacid) ไม่เพียงแต่ลดโคเลสเตอรอลลงเท่านั้น ยังเป็นการป้องกันหลอดเลือดตีบ และโรคหัวใจของคนในวัยกลางวันและวัยสูงอายุได้
เกลือแร่ในกุ้งแห้ง
กุ้งแห้งมีแคลเซียมร่างกายคุณต้องการแคลเซียมเป็นเกลือแร่ชนิดจำเป็นที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่มากกว่าสารอาหารรองชนิดอื่นๆ
และมีบทบาทสำคัญในการทำงานของร่างกายที่สำคัญ และมีประโยชอย่างเช่นการรักษาสุขภาพกระดูก
สารอาหารในแคบหมู
แคบหมูมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ จึงใช้เป็นของคบเคี้ยวทางเลือกตามการควบคุมน้ำหนักแบบแอตกินส์ (Atkins diet) ทว่า แคบหมูมีไขมันและโซเดียมสูง ไขมันในแคบหมูนั้นทัดเทียมกับในมันฝรั่งทอด ขณะที่โซเดียมในแคบหมูซึ่งบริโภคแต่ละครั้งนั้นมีปริมาณมากกว่าที่ได้จากการบริโภคมันฝรั่งทอดครั้งหนึ่ง
ๆ ถึงราวห้าเท่า นิตยสาร เมนส์เฮลธ์ (Men's
Health) ประเมินว่า การบริโภคแคบหมูครั้งละยี่สิบแปดกรัม
(หนึ่งออนซ์)
จะได้โปรตีนมากกว่าและไขมันน้อยกว่าการบริโภคมันฝรั่งทอดถุงหนึ่งราวเก้าเท่า
และร้อยละสี่สิบสามของไขมันแคบหมูนั้นไม่อิ่มตัว ส่วนใหญ่เป็นกรดโอเลอิก (oleic acid) อันเป็นไขมันที่เป็นผลดีต่อสุขภาพชนิดเดียวกับที่พบในน้ำมันมะกอก ขณะที่อีกร้อยละสิบสามของไขมันแคบหมูนั้นเป็นกรดสตีแอริก (stearic acid) อันเป็นไขมันอิ่มตัว แต่ไม่เป็นอันตราย เพราะไม่เพิ่มระดับคอเลสเทอรอล[1]
สารอาหารในมะนาวและประโยชน์ทางยา
มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค
ไวตามินซี จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอ และซี
ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวอีกด้วย
มะนาวมีประโยชน์ใช้เป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ แก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน
เหงือกบวม นอกจากนี้ยังช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้อาเจียน เมาเหล้า ขจัดคราบบุหรี่
บำรุงตา บำรุงผิว และยังสามารถมีฤทธิ์ในการกัดด้วยเป็นต้น
หอมแดงเป็นพืชสมุนไพรที่เป็นยารักษาโรค
หอมแดงมีคุณสมบัติ เป็นยารักษาโรค ใช้ลดไข้และรักษาแผลได้ โดยเอาหัวหอมแดงมาซอยเป็นแว่นๆ ผสมกับน้ำมันมะพร้าวและเกลือ ต้มให้เดือด แล้วนำมาพอกแผล นอกจากนั้นหอมแดง ยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และยับยั้งเส้นเลือดอุดตัน ด้วยการบริโภคสด หรือประกอบอาหาร หรือบริโภคชนิดผง
สรรพคุณของพริกขี้หนูสด
·
เหง้า : รสหวานเผ็ดร้อน
ขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน แก้หอบไอ ขับเสมหะ แก้บิด
เจริญอากาศธาตุ สารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้
ใช้เหง้าแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่ม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด
แน่นเฟ้อ เหง้าสด ตำคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำมะนาว เติมเกลือเล็กน้อย จิบแก้ไอ ขับเสมหะ
[2]
·
ต้น : รสเผ็ดร้อน
ขับลมให้ผายเรอ แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วง
·
ใบ : รสเผ็ดร้อน
บำรุงกำเดา แก้ฟกช้ำ แก้นิ่ว แก้ขัดปัสสาวะ แก้โรคตา ฆ่าพยาธิ
·
ดอก : รสเผ็ดร้อน
แก้โรคประสาทซึ่งทำให้ใจขุ่นมัว ช่วยย่อยอาหาร แก้ขัดปัสสาวะ
·
ราก : รสหวานเผ็ดร้อนขม
แก้แน่น เจริญอาหาร แก้ลม แก้เสมหะ แก้บิด
·
ผล : รสหวานเผ็ด
บำรุงน้ำนม แก้ไข้ แก้คอแห้ง เจ็บคอ แก้ตาฟาง เป็นยาอายุวัฒนะ
·
แก่น : ฝนทำยาแก้คัน
สรรพคุณขิง
ขิงยังมีสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย คือ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามินเอและอีกมากมาย ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ในทางยานิยมใช้ขิงแก่ เพราะขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและมีใยอาหารมาก นำเหง้าสดย่างไฟให้สุก ตำผสมกับน้ำปูนใสคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำเหง้าสดหมกไฟรับประทานเมื่อมีอาการเบื่ออาหาร [3]
๑. แก้ปวดหัว ปวดหัวเนื่องมาจากไข้หวัด หรือตััวร้อน ใช้ใบพริกขี้ หนูสดๆ ตำกับดินสอพองปิดขมับ
๒. แก้เจ็บคอ เสียงแหบ ใช้น้ำต้มหรือยาชงพริกขี้หนู กลัวคอแก้ เจ็บคอและเสียงแหบได้ โดยใช้พริกขี้หนูป่น ๑ หยิบมือเติมน้ำเดือดลง ไป ๑ แก้ว ทิ้งไว้พออุ่น ใช้น้ำกลัวคอ
๓. ช่วยขับลม แก้อาหารไม่ย่อย เจริญอาหาร โดยกินพริกขี้หนูสวน รักษากระเพาะที่ไม่มีกำลังย่อยอาหาร
๔. แก้ปลาดุกยัก ใช้พริกขี้หนูสดเขียวหรือแดงก็ได้ ขยี้ตรงที่ปลาดุก แทงจะหายปวด ขยี้แล้วจะรู้สึกเย็น(ธรรมดาพริกขี้หนูร้อน) ไม่บวม ไม่ฟกช้ำด้วย
๕. แก้เท้าแตก ใช้พริกขี้หนูทั้ง ๕ ปูนขาว สื่งละพอควร เอาไปต้ม เอาน้ำมาแช่เท้าที่แตก ถ้าไม่หายเอาต้นสลัดได รากหนอนตากยาก ใส่ลงไปด้วย
๖. แก้บวม ใบพริกขี้หนู บดผสมนำ้มะนาว พอกบริเวณที่บวม
๗. รักษาแผลสดและแผลเปื่อย ใช้ใบพริกขี้หนู ตำพอกรักษาแผล สดและแผลเปื่อย(อย่าใช้พริกขี้หนูปิดแผลมากเกินไปเพราะจะทำให้ร้อน
๘. ใบ้ใบเป็นอาหาร ใบพริกขี้หนูมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก เพราะมี ธาตุ แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ไวาตามินเอ และบีอยู่มาก บำรุงกระดูก บำรุง ประสาท
๙. แก้พิษตะขาบและแมลงป่องกัด ใช้พริกขี้หนููแห้ง ตำผงละลาย น้ำมาะนาว ทาแผลตะขาบกัด แมลงป่องต่อย หายเจ็บปวดดีนัก
๑๐. มดคันไฟกัด ใช้ใบหรือดอกพริกขี้หนูก้ได้ ถูบริเวณถูกกัด หายแล
สารอาหารในเต้าเจี้ยว
เต้าเจี้ยวเป็นสารชูรสอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีรสชาติคล้ายสารสกัดจาก เนื้อสัตว์ จึงใช้เป็นเครื่องปรุงอาหารได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในการปรุงอาหาร ที่ปราศจากเนื้อสัตว์ เต้าเจี้ยวยังอุดมด้วยกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการถึง 17 ชนิด สารชูรสและกลิ่นหอมของเต้าเจี้ยวเป็นสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในระหว่างการหมัก มีประโยชน์ต่อร่างกายและไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด
เต้าเจี้ยวมีโปรตีน เนื่องจากในถั่วเหลืองมีโปรตีนมากที่สุด แต่เป็นโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์เนื่องจากขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นบางตัว คือเมทไทออนีนและซีสตีนสูง แต่ไลซีนต่ำ ถ้าคิดเทียบน้ำหนักกับอาหารประเภทอื่น ๆ จะพบว่ามีปริมาณโปรตีนสูง เช่น สูงกว่าเนื้อสัตว์ 2 เท่า สูงกว่าไข่ไก่และข้าวสาลี 4 เท่า สูงกว่าขนมปัง 5-6 เท่า และสูงกว่านมวัว 12 เท่า
สารอาหารในถั่วเหลือง
สารอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตในถั่วเหลืองไม่มีแป้ง จึงทำให้ถั่วเหลืองเป็นอาหาร ที่เหมาะสมสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน ถั่วเหลืองอุดมไปด้วยเกลือแร่ เหล็ก และโพแทสเซียม ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก และที่สำคัญคือ ธาตุเหล็กช่วยในการบำรุงโลหิต ถั่วเหลืองยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี 1 บี 2 ดี อี เค และไนอะซีน จะพบวิตามินบี 2 มากกว่าพืชอื่น ๆ นอกจากนี้ยังพบว่าถั่วเหลือง ประกอบด้วยไบโอติน โคลิน และอิโนซิทอล ที่ทำหน้าที่คล้ายวิตามินด้วย
สรรพคุณทางยาของใบชะพู
·
ดอก : ทำให้เสมหะแห้ง
ช่วยขับลมในลำไส้
·
ราก :
ขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง
·
ต้น : ขับเสมหะในทรวงอก
·
ใบ : มีรสเผ็ดร้อน
ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ในใบชะพลูมีสารเบต้า-แคโรทีนสูงมาก
เยี่ยม // เด็กหญิง ชนิกานต์ ภัทราชยานันต์ เลขที่ 44 ม.2/5
ตอบลบเจ๋ง // ณัฐพล แผ้วเกษม 2/5 6
ตอบลบสุดยอดดดอ่าาาาาาา // ด.ญ.นภสร เสทะสิงห์ 2/5 ล.39
ตอบลบดีมาก // เด็กหญิง สุธาสินี ศรีเดช เลขที่ 47 ม.2/5
ตอบลบมีสาระมากเลย :')
ตอบลบเด็กหญิง ปาริฉัตร สิงห์หา ม.2/5 เลขที่ 40
สุดยอด//ด.ช.ณรงค์กร เอื้อกุศลสมบูรณ์ 2/5 ล. 4
ตอบลบมีประโยชน์ : ) //เด็กหญิงชนนิกานต์ ยาใจ 2/5 เลขที่ 38
ตอบลบมีประโยชน์มากเลยยยยย //ด.ช.เอกสิทธิ์ ศรีภา 2/5 21
ตอบลบด.ช. สหรัฐ เคว้งกลาง เลขที่ 18 ม.2/5 โธ่ๆๆ!!
ตอบลบดีๆ //ด.ช.ภาณุวัฒน์ จันป้อม 2/5 เลขที่ 15
ตอบลบมีประโยชน์มากเลย
ตอบลบด.ญ. ราชรุจิ ใจเอี่ยม เลขที่ 41 ม. 2/5
มีสาระดีามากก
ตอบลบด.ญ.กัลยา นุชแม้น ม.2/5 เลขที่.48